วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

ดอกหอมผัดตับ Stir-Fried Onion Flowers and Pork Liver



วันนี้จะทำเมนูดอกหอมผัดตับค่ะ เป็นเมนูที่ทำง่าย วัตถุดิบน้อยแถมยังมีประโยชน์
กับทุกเพศทุกวัยอีกด้วยค่ะ  💪😊


วัตถุดิบ 
  • ดอกหอม
  • ตับหั่นเป็นชิ้น
  • น้ำมันหอย
  • ซอสปรุงรส
  • กระเทียม
  • น้ำมันพืช
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำเปล่า




หั่นต้นดอกหอม
ตับที่เราซื้อมา ถ้าเรานำมาทำอาหาร อาจจะมีกลิ่น 
รสชาติคาว ก่อนที่เราจะนำมาผัด
เราก็หั่นเป็นชิ้นก่อนนะคะ แล้วนำตับสด ไปล้างน้ำ แช่ทิ้งไว้สัก 15-20 นาที 
หรือเพื่อความรวดเร็ว เราก็ล้างสัก 2-3 น้ำ เพื่อให้ตับเลือด
 ที่มีสีแดงสดที่เราเพิ่งซื้อมา เปลี่ยนเป็นตับแป้งหรือสีออกเทาๆ จะช่วยลดกลิ่นคาวได้ค่ะ 
ตัวช่วยที่สามารถดับกลิ่นคาว ได้ดีมีอยู่หลายอย่าง 
เราก็นำตับมาล้างน้ำสะอาดแล้วแช่ทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็น นมสด  ขิง น้ำส้มสายชู แป้งมัน เกลือ
ถ้าเรามีอย่างใดอย่างนึงก็สามารถช่วยดับกลิ่นคาวของตับ ได้ค่ะ

วิธีการทำ

  • ใส่น้ำมันพืช
  • ใส่กระเทียม
  • นำตับที่เราลวกสุกใส่ลงไป หรือ ถ้าใครไม่ลวกแล้วใส่ลงไปเลยก็ได้ค่ะ 
  • ใส่ดอกหอมลง
  • เติมน้ำตาล 
  • ซอสปรุงรส
  • น้ำมันหอย

ชิมรส แล้วจัดจานเสิร์ฟเลยคร้า


วิธีการเลือก อันไหนตับแป้ง อันไหนตับเลือด
ตับแป้ง จะมีสีแดงอ่อนๆ เนื้อขึ้นเงา หากยังไม่แน่ใจลองถามจากแม่ค้าดูก็ได้ว่ามีตับแป้งขายหรือไม่ เพราะบางโอกาสก็หาซื้อตับแป้งได้ยาก ไม่ใช่ว่าในหมูทุกตัวจะมีตับแป้ง ดังนั้นร้านขายเนื้อหมูบางเจ้าจึงขายตับแป้งแพงกว่าตับเลือด
ตับเลือด สีจะออกแดงเข้ม ไม่ว่าจะนำไปปรุงสุกขนาดไหน ก็ยังคงมีเลือดซึมออกมาเรื่อยๆ ซึ่งผู้บริโภคบางคนก็ชื่นชอบเนื้อสัมผัสของตับเลือดมากกว่าตับแป้ง ดังนั้นหากชอบตับแบบไหนก็ควรสอบถามจากแม่ค้าให้แน่ใจซะก่อน
นอกจากวิธีการแยกแยะตับแป้งและตับเลือดแล้ว ยังมีวิธีการเลือกซื้อตับหมูมาทำอาหารด้วย ตับหมูที่ดีต้องมีเนื้อละเอียด ไม่เป็นรูพรุน ควรไปซื้อตับในเวลาเช้า เพราะจะได้ตับที่สดใหม่ สามารถเก็บไว้นาน และยังคงคุณค่าทางสารอาหารด้วย
เคล็ดลับการทำอาหารด้วยตับ
1. เมื่อซื้อตับมาแล้วควรนำมาทำอาหารภายในวันนั้น หรือภายใน 24 ชั่วโมง
2. ก่อนนำมาทำอาหารให้ลอกพังผืดสีขาวที่คลุมตับออกให้หมด
3. ควรลวกตับก่อนนำไปผัดหรือปรุงอาหาร เพื่อล้างเลือดและกลิ่นคาวออกก่อน แต่อย่าลวกนานหรือสุกจนเกินไป
4. หากจะนำตับสดๆ ไปทำอาหารประเภทผัด ควรหั่นตับให้หนาหน่อย เนื้อตับจะยังคงความนุ่ม
5. หากจะนำตับสดๆ ไปทำอาหารประเภทต้มหรือแกง ไม่ควรต้มตับพร้อมกับน้ำแกง แต่ให้ลวกตับให้พอสุกก่อน เมื่อปรุงแกงเสร็จแล้วจึงนำน้ำแกงราดบนเนื้อตับลวกก่อนเสิร์ฟ

ประโยชน์และโทษของการบริโภคตับหมู

ตับหมู หนึ่งในอาหารยอดนิยมที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นตับหมูทอดกระเทียม ตับหวาน หรือจะเอามาผัดกับดอกกุยช่ายก็สุดแสนอร่อย ตับหมูมีธาตุเหล็กและวิตามิน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 2 และ วิตามินบี 3 ที่สามารถช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงสายตาให้สามารถปรับการรับรู้ในที่แสงสว่างไม่เพียงพออีกด้วย กระตุ้นระบบกล้ามเนื้อร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังมีวิตามิน บี 12 ที่สามารถช่วยบำรุงประสาทและสมอง ให้เกิดการเรียนรู้และมีความจำที่ดี พร้อมทั้งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้ร่างกายสามารถนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของระบบให้ดียิ่งขึ้น 

ผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคตับหมูเป็นชีวิตจิตใจ ว่าควรระวังโรคภัยที่มาพร้อมกับประโยชน์ที่กล่าวมาในข้างต้นด้วย เพราะหากบริโภคตับหมูอย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะส่งผลเสียให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะในตับหมูมีปริมาณคอเลสเตอรอลในปริมาณที่สูงเป็นอย่างมาก เช่น ตับหมูน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะมีปริมาณของคอเลสเตอรอลมากกว่า 400 มิลลิกรัม หากบริโภคเป็นระยะเวลานานหรือในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะส่งผลเสียทำให้หลอดเลือดเกิดการแข็งตัว และเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ 

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการทำงานของวงจรเส้นเลือดก็จะมีปัญหา เส้นเลือดสมองมีโอกาสที่จะเกิดการตีบตัน ส่งผลให้ร่างกายเกิดการเป็น อัมพฤกษ์หรืออัมพาตและหากใครที่มักจะเกิดอาการปวดหัวข้างเดียวอยู่เป็นประจำ หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ก็ควรที่หลีกเลี่ยงการบริโภคทั้งตับหมูและตับไก่ให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะธาตุเหล็กจะเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมไปถึงหัวใจ อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวฉับพลันได้!! 

นอกจากนี้แล้ว ตับหมูตามท้องตลาดบางแห่งยังมีสารที่ชื่อว่าเลนดอลเจือปนอยู่ โดยสารดังกล่าวนี้เป็นสารเคมีที่ผู้เลี้ยงหมูนิยมใช้เพื่อลดปริมาณไขมันลง และทำให้เนื้อหมูมีสีอ่อนนุ่มน่ารับประทาน แต่หากผู้บริโภครับประทานสารตัวนี้เข้าไป สารเคมีดังกล่าวจะเข้าไปขยายหลอดลมได้ และหากเกิดการตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายนานกว่า 6 ชั่วโมง อาจส่งผลให้ร่างกายต่อต้าน กล้ามเนื้อสั่นกระตุก หัวใจเต้นเร็ว และสามารถส่งผลให้มีอาการทางจิตประสาทได้เลยทีเดียว 

  ไม่ว่าอาหารอะไรก็แล้วแต่หากเรารับประทานในปริมาณที่เกินความพอดี ก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ทั้งนั้น เพราะเช่นนั้นแล้วเราควรที่จะรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งคอยหมั่นตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การออกกำลังกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูล สาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องการบริโภคตับ

http://www.parameelaw.com/index.php?

https://th.openrice.com/th/bangkok/article

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น